PRESSUREGAUGE TH LOGO

บทความเกจวัดแรงดัน

เกจวัดแรงดันมีกี่ประเภท: ทำความเข้าใจเครื่องมือวัด

การวัดและตรวจสอบแรงดันเป็นสิ่งจำเป็นในอุตสาหกรรมการผลิตและการประยุกต์ใช้งานด้านต่างๆ เกจวัดแรงดันจึงมีบทบาทสำคัญในการติดตามและควบคุมกระบวนการต่างๆ ให้เป็นไปตามมาตรฐาน บทความนี้จะแนะนำให้คุณเข้าใจประเภทต่างๆ ของเกจวัดแรงดัน ทั้งเกจแบบบูรดอน ไดอะแฟรม และดิจิทัล เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้งานได้อย่างเหมาะสมในอุตสาหกรรม

ประเภทหลักของเกจวัดแรงดัน

  • เกจวัดแรงดันแบบบูรดอน
  • มาตรวัดแรงดันเหลว
  • เกจวัดแรงดันลม
  • เกจวัดแรงดันแบบหลอดแก้ว
  • มาตรวัดแรงดันแบบไดอะแฟรม
  • เกจแรงดันคงที่
  • มาตรวัดแรงดันสำหรับงานอุตสาหกรรม

บทนำเกี่ยวกับเกจวัดแรงดัน

ในอุตสาหกรรมต่างๆ การวัดและตรวจสอบระดับแรงดันถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เกจวัดแรงดันจึงเป็นเครื่องมือวัดที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการนี้ มาตรวัดแรงดันเหลวเป็นหนึ่งในตัวอย่างของเกจวัดแรงดันที่ทุกคนคุ้นเคย

ความสำคัญของการวัดแรงดัน

การตรวจวัดค่าแรงดันอย่างถูกต้องและแม่นยำมีความจำเป็นในหลายอุตสาหกรรม เช่น การผลิต การเก็บรักษาวัสดุ หรือระบบท่อส่งต่างๆ การตรวจวัดแรงดันจะช่วยให้สามารถควบคุม ปรับปรุง และบำรุงรักษากระบวนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันอันตรายที่อาจเกิดจากการทำงานในสภาพแรงดันสูงหรือต่ำเกินไป

องค์ประกอบหลักของเกจวัดแรงดัน

เกจวัดแรงดันประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน ดังนี้:

  • หัววัด (Pressure Element) ทำหน้าที่ตรวจจับและรับแรงดัน
  • ตัวแปลงสัญญาณ (Pressure Transducer) เปลี่ยนแรงดันที่วัดได้เป็นสัญญาณไฟฟ้า
  • ตัวแสดงผล (Indicator) แสดงค่าแรงดันที่วัดได้

ความสอดคล้องและการทำงานที่ลงตัวของส่วนประกอบเหล่านี้จะช่วยให้เกจวัดแรงดันสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือ

ในบทความต่อไป เราจะกล่าวถึงเกจวัดแรงดันแบบบูรดอน (Bourdon Gauge) ซึ่งเป็นหนึ่งในเกจวัดแรงดันที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย

เกจวัดแรงดันแบบบูรดอน (Bourdon Gauge)

เกจวัดแรงดันแบบบูรดอนเป็นแบบที่ได้รับความนิยมใช้มากที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากมีโครงสร้างที่ค่อนข้างง่ายและมีราคาไม่สูงมากนัก โดยเกจวัดแรงดันแบบบูรดอนจะประกอบไปด้วยหลอดโค้งรูปตัว C ที่สามารถยุบหรือเหยียดตัวเมื่อรับแรงดันที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของหลอดโค้งนี้จะส่งผลให้เข็มที่ติดอยู่กับหลอดโค้งเคลื่อนที่ขึ้นลงบนหน้าปัดของเกจวัด ทำให้สามารถอ่านค่าแรงดันได้ง่ายและชัดเจน

หลอดโค้งรูปตัว C ที่เป็นส่วนประกอบหลักของเกจวัดแรงดันแบบบูรดอนจะสามารถยุบตัวหรือพองออกตามการเปลี่ยนแปลงของแรงดัน เมื่อแรงดันเพิ่มขึ้นหลอดโค้งจะพองออกและทำให้เข็มเคลื่อนที่ไปทางขวา ในทางกลับกันเมื่อแรงดันลดลงหลอดจะยุบตัวและทำให้เข็มเคลื่อนที่ไปทางซ้าย การเคลื่อนที่ของเข็มนี้จะแสดงค่าแรงดันตามที่เกจวัดสะท้อนออกมาบนหน้าปัดอย่างถูกต้อง

จะเห็นได้ว่า เกจวัดแรงดันแบบบูรดอน เป็นเครื่องมือวัดแรงดันที่มีความง่ายและน่าเชื่อถือ เหมาะสำหรับการใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ต้องการการวัดแรงดันที่แม่นยำและน่าเชื่อถือ

มาตรวัดแรงดันเหลว (Liquid Pressure Gauges)

มาตรวัดแรงดันเหลวเป็นอีกหนึ่งประเภทของอุปกรณ์วัดแรงดันที่สำคัญ โดยทำงานโดยใช้ของเหลวในการส่งแรงดันไปยังหน้าปัดเพื่อแสดงค่าแรงดัน เทคโนโลยีนี้ให้ความแม่นยำและเชื่อถือได้ในการวัดแรงดันของของเหลว ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามหลักการการทำงาน

หลักการทำงาน

มาตรวัดแรงดันเหลวจะมีทอ่ที่เชื่อมต่อระหว่างของเหลวในระบบที่ต้องการวัดแรงดัน และของเหลวภายในเครื่องวัด เมื่อแรงดันในระบบเปลี่ยนแปลง ของเหลวภายในเครื่องวัดก็จะเปลี่ยนแปลงตาม ซึ่งจะส่งผลให้เข็มบนหน้าปัดเคลื่อนตำแหน่งไปแสดงค่าแรงดัน

ประเภทของมาตรวัดแรงดันเหลว

มาตรวัดแรงดันเหลวสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท ได้แก่:

  • แบบสปริงหนีศูนย์: ใช้สปริงในการส่งแรงดันสู่หน้าปัด โดยเมื่อแรงดันเปลี่ยนแปลง สปริงจะเคลื่อนตัวตามและทำให้เข็มแสดงค่า
  • แบบยกตัวเหลว: ใช้ของเหลวในการยกชิ้นส่วนที่เชื่อมต่อกับหน้าปัดเมื่อแรงดันเปลี่ยน
  • แบบกลับขั้ว: ใช้ของเหลวสองชนิดที่มีความหนาแน่นต่างกัน เพื่อนำมาแสดงค่าแรงดันผ่านการเปลี่ยนระดับของชั้นแยกน้ำ

แต่ละประเภทจะมีข้อดีและข้อเสียเฉพาะตัว ดังนั้น การเลือกใช้มาตรวัดแรงดันเหลวควรคำนึงถึงลักษณะการใช้งานเป็นหลัก

เกจวัดแรงดันลม (Pneumatic Gauges)

เกจวัดแรงดันลมเป็นเครื่องมือที่ใช้วัดแรงดันของอากาศหรือก๊าซ โดยอาศัยหลักการของความดันอากาศและแรงดันเนื่องจากการเคลื่อนที่ของอากาศหรือก๊าซ เพื่อขับเคลื่อนเข็มวัด เกจวัดแรงดันลมมีประสิทธิภาพในการวัดแรงดันที่สูงและสามารถใช้งานได้กับอากาศหรือก๊าซอื่นๆ นอกจากนี้ ยังมีข้อได้เปรียบในเรื่องความทนทานและการใช้งานที่ง่าย

หลักการทำงานของเกจวัดแรงดันลมคือ เมื่ออากาศหรือก๊าซที่ต้องการวัดแรงดันไหลเข้าสู่เกจ แรงดันจะกระทำต่อชิ้นส่วนที่ไวต่อแรงดัน เช่น เยื่อบางๆ หรือลูกสูบ ส่งผลให้ชิ้นส่วนเหล่านี้เคลื่อนที่ และขับเคลื่อนเข็มวัดให้ชี้บอกค่าแรงดัน

  • เกจวัดแรงดันลมมีความเที่ยงตรงและการตอบสนองต่อการวัดดีกว่าเกจวัดแรงดันชนิดอื่น
  • เกจวัดแรงดันลมมีความแข็งแรงและทนทานต่อการใช้งานในสภาวะที่รุนแรง
  • เกจวัดแรงดันลมมีความสามารถในการวัดแรงดันได้กว้างขึ้น ตั้งแต่แรงดันต่ำจนถึงแรงดันสูง

ในภาพรวม เกจวัดแรงดันลมเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสำหรับการวัดแรงดันของอากาศหรือก๊าซในงานอุตสาหกรรมและงานวิศวกรรมต่างๆ

“เกจวัดแรงดันลมเป็นเครื่องมือที่มีความแม่นยำและน่าเชื่อถือ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบและควบคุมกระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

เกจวัดแรงดันแบบหลอดแก้ว (Glass Tube Gauges)

เกจวัดแรงดันแบบหลอดแก้วเป็นเครื่องวัดแรงดันที่ใช้หลอดแก้วบรรจุของเหลวเป็นตัววัดแรงดัน ซึ่งสามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของระดับของเหลวได้โดยตรง มาตรวัดแบบนี้มีข้อดีและข้อเสียที่น่าสนใจ

ข้อดีของเกจวัดแรงดันแบบหลอดแก้ว

  • อ่านค่าได้ง่าย เนื่องจากสามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของระดับของเหลวโดยตรง
  • มีความแม่นยำสูง เนื่องจากการวัดเป็นแบบตรงไปตรงมา
  • ไม่ต้องใช้พลังงานในการทำงาน เนื่องจากเป็นระบบสุญญากาศ

ข้อเสียของเกจวัดแรงดันแบบหลอดแก้ว

  • มีความเสี่ยงที่หลอดแก้วจะแตกหัก ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
  • ไม่เหมาะสำหรับการวัดในสภาพแวดล้อมที่มีการสั่นสะเทือนหรือความเสียหายทางกลสูง
  • ความแม่นยำอาจลดลงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ

โดยรวมแล้ว เกจวัดแรงดันแบบหลอดแก้ว เป็นอุปกรณ์วัดความดันที่มีข้อดีในเรื่องความแม่นยำและการอ่านค่าง่าย แต่ก็มีข้อจำกัดในด้านความปลอดภัยและการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย ผู้ใช้จึงควรพิจารณาถึงการนำไปใช้งานอย่างระมัดระวัง

เกจวัดแรงดันแบบหลอดแก้ว

เกจวัดแรงดันมีกี่ประเภท

เกจวัดแรงดันนับเป็นเครื่องมือสำคัญในอุตสาหกรรมและชีวิตประจำวัน โดยสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท ตามหลักการทำงาน วัสดุ และการประยุกต์ใช้งาน เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการใช้งานแต่ละอย่าง

ดังนั้น ในการเลือกเกจวัดแรงดันนั้น จำเป็นต้องพิจารณาคุณสมบัติที่ตอบโจทย์การใช้งานอย่างแท้จริง โดยมีตัวอย่างของเกจวัดแรงดันประเภทต่างๆ ดังนี้:

  • เกจวัดแรงดันแบบบูรดอน (Bourdon Gauge)
  • มาตรวัดแรงดันเหลว (Liquid Pressure Gauges)
  • เกจวัดแรงดันลม (Pneumatic Gauges)
  • เกจวัดแรงดันแบบหลอดแก้ว (Glass Tube Gauges)
  • มาตรวัดแรงดันแบบไดอะแฟรม (Diaphragm Gauges)
  • เกจแรงดันคงที่ (Absolute Pressure Gauges)

แต่ละประเภทมีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับงานและสภาพแวดล้อม เพื่อให้ได้ข้อมูลการวัดที่แม่นยำและเชื่อถือได้

ประเภทเกจวัดแรงดัน ลักษณะการทำงาน ข้อดีและข้อจำกัด
เกจวัดแรงดันแบบบูรดอน ใช้ท่อโค้งรับแรงดัน ราคาถูก, ทนทาน แต่อ่านค่าได้ยาก
มาตรวัดแรงดันเหลว ใช้ของเหลวในการกดดัน อ่านค่าได้ง่าย แต่มีขนาดใหญ่และไม่ทนทานเท่าเกจแบบอื่น
เกจวัดแรงดันลม ใช้อากาศอัดในการวัด ทนทานต่อสภาพแวดล้อม แต่การอ่านค่าอาจลำบากกว่าเกจแบบอื่น
เกจวัดแรงดันแบบหลอดแก้ว ใช้หลอดแก้วบรรจุของเหลวในการแสดงผล มองเห็นได้ชัดเจน แต่เปราะบางและการติดตั้งยุ่งยาก
มาตรวัดแรงดันแบบไดอะแฟรม ใช้แผ่นไดอะแฟรมรับแรง ความแม่นยำสูง แต่ราคาแพงกว่าเกจแบบอื่น
เกจแรงดันคงที่ วัดแรงดันสัมบูรณ์ โดยใช้สุญญากาศอ้างอิง มีความแม่นยำสูง แต่ใช้งานเฉพาะเรื่องแรงดันคงที่เท่านั้น

จากตารางนี้ เห็นได้ว่าเกจวัดแรงดันแต่ละประเภทมีคุณสมบัติเฉพาะที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเลือกใช้งานจึงต้องพิจารณาตามความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมและวัตถุประสงค์ในการใช้งาน เพื่อให้ได้ผลการวัดที่มีความถูกต้องและเชื่อถือได้มากที่สุด

มาตรวัดแรงดันแบบไดอะแฟรม (Diaphragm Gauges)

มาตรวัดแรงดันแบบไดอะแฟรมเป็นอุปกรณ์ที่ใช้แผ่นยืดหยุ่น (diaphragm) เพื่อรับแรงดันและขับเคลื่อนเข็มที่เคลื่อนไปยังหน้าปัด มาตรวัดแบบนี้เหมาะสำหรับการวัดแรงดันต่ำ เช่น แรงดันน้ำ ไอน้ำ และก๊าซ เนื่องจากมีความเสถียรและแม่นยำสูง จึงเป็นที่นิยมใช้กับระบบที่ต้องการการวัดที่แม่นยำ เช่น ระบบควบคุมอุตสาหกรรม ระบบปรับอากาศ และระบบอื่นๆ ที่ใช้ก๊าซและของเหลว

โครงสร้างหลักของมาตรวัดแรงดันแบบไดอะแฟรมประกอบด้วย:

  • แผ่นยืดหยุ่น (Diaphragm) ที่รับแรงดัน
  • ส่วนที่เชื่อมต่อกับแรงดันที่จะวัด
  • กลไกการเคลื่อนที่ของเข็มที่แสดงค่าแรงดัน

เมื่อแรงดันที่จะวัดกระทำบนแผ่นไดอะแฟรม แผ่นนี้จะเกิดการเคลื่อนที่ และส่งผลให้เข็มบนหน้าปัดเคลื่อนที่ไปตามการเปลี่ยนแปลงของแรงดัน ทำให้สามารถอ่านค่าแรงดันได้อย่างแม่นยำ

มาตรวัดแรงดันแบบไดอะแฟรมมีข้อดีคือ มีความเสถียรและแม่นยำสูง สามารถใช้วัดแรงดันต่ำได้ดี และมีต้นทุนการผลิตที่ไม่สูงมากนัก ทำให้เป็นเครื่องมือวัดแรงดันที่เหมาะสมสำหรับระบบทั่วไป อย่างไรก็ตาม ปริมาณการเคลื่อนที่ของแผ่นไดอะแฟรมมีจำกัด จึงมีข้อจำกัดในการวัดแรงดันสูง

เกจแรงดันคงที่ (Absolute Pressure Gauges)

เกจแรงดันคงที่เป็นอุปกรณ์วัดแรงดันสัมบูรณ์ที่อ้างอิงกับสภาพสุญญากาศ แตกต่างจากเกจแรงดันอื่น ๆ ที่อ้างอิงกับแรงดันบรรยากาศ เกจแรงดันคงที่ช่วยให้สามารถวัดแรงดันได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับอุปกรณ์หลายชนิด เช่น ในระบบปฏิบัติการ ห้องปฏิบัติการ และระบบควบคุม

ประยุกต์ใช้งานกับอุปกรณ์อื่นๆ

เกจแรงดันคงที่มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมและงานวิทยาศาสตร์ ซึ่งต้องการการวัดแรงดันที่แม่นยำและเชื่อถือได้ ตัวอย่างของการนำไปใช้งานรวมถึง:

  • ระบบไฮดรอลิก และนิวเมติกในโรงงานอุตสาหกรรม
  • ระบบบำบัดน้ำเสีย และการผลิตก๊าซ
  • เครื่องมือวัดทางการแพทย์ เช่น เครื่องวัดความดันโลหิต
  • งานวิจัยและการทดสอบในห้องปฏิบัติการ
  • ระบบควบคุมอากาศและสุญญากาศ

เกจแรงดันคงที่จึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการวัดและควบคุมระบบต่างๆ ที่ต้องการความแม่นยำสูง

“เกจแรงดันคงที่ช่วยให้เราสามารถวัดแรงดันได้อย่างแม่นยำและเชื่อถือได้ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการควบคุมและปฏิบัติการหลายอย่างในอุตสาหกรรมและงานวิทยาศาสตร์”

เกจวัดแรงดันสำหรับงานอุตสาหกรรม (Industrial Pressure Gauges)

มาตรวัดดันที่ใช้ในงานอุตสาหกรรมจะต้องมีคุณสมบัติพิเศษเหนือกว่ามาตรวัดดันทั่วไป เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมที่รุนแรงและมีความท้าทาย ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญที่ต้องพิจารณา ดังนี้:

คุณสมบัติที่สำคัญ

  • ความแม่นยำสูง – มาตรวัดดันสำหรับงานอุตสาหกรรมจะต้องให้ค่าการวัดที่แม่นยำสูง เพื่อตรวจสอบและควบคุมกระบวนการผลิตให้มีคุณภาพ
  • การป้องกันการกัดกร่อน – การใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีสารเคมีหรือตัวทำละลายต่างๆ จำเป็นต้องใช้มาตรวัดดันที่มีการป้องกันการกัดกร่อน
  • ความทนต่อแรงกระแทก – มาตรวัดดันในอุตสาหกรรมมักจะต้องทนต่อแรงกระแทกและแรงสั่นสะเทือนในสภาพแวดล้อมการทำงานที่รุนแรง
  • การวัดอุณหภูมิสูง – มีความสามารถในการวัดอุณหภูมิสูงๆ ที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการผลิตอุตสาหกรรม

ด้วยคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้ มาตรวัดดันสำหรับงานอุตสาหกรรม จึงสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้ แม้ในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับการควบคุมและรักษาคุณภาพการผลิตในอุตสาหกรรม

สรุป

เกจวัดแรงดันเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญอย่างมากในอุตสาหกรรมต่างๆ เนื่องจากช่วยให้สามารถตรวจสอบและควบคุมแรงดันได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เกจวัดแรงดัน เช่น เกจวัดแรงดันแบบบูรดอน มาตรวัดแรงดันเหลว เกจวัดแรงดันลม เกจวัดแรงดันแบบหลอดแก้ว และมาตรวัดแรงดันแบบไดอะแฟรม ต่างก็มีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน ผู้ใช้จึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละงานเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

นอกจากนี้ เกจวัดแรงดันยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อช่วยในการวัดและควบคุมระบบต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เกจแรงดันคงที่ที่ใช้ในการวัดแรงดันสูงสุด และเกจวัดแรงดันสำหรับงานอุตสาหกรรมที่มีคุณสมบัติที่ทนต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง

ด้วยความหลากหลายของเกจวัดแรงดัน ผู้ใช้จึงสามารถเลือกใช้งานได้ตรงตามความต้องการ สามารถช่วยให้การติดตามและควบคุมระบบภายในอุตสาหกรรมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

FAQ

เกจวัดแรงดันมีกี่ประเภท?

โดยสรุป เกจวัดแรงดันสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามหลักการทำงาน วัสดุ และการประยุกต์ใช้งาน เช่น แบบบูรดอน ไดอะแฟรม ลม และหลอดแก้ว เพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละสภาพแวดล้อมการใช้งาน

มาตรวัดแรงดันเหลวทำงานอย่างไร?

มาตรวัดแรงดันเหลวทำงานโดยใช้ของเหลวในการส่งแรงดันมายังหน้าปัด ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น แบบสปริงหนีศูนย์ แบบยกตัวเหลว และแบบกลับขั้ว ซึ่งแต่ละประเภทมีข้อดีข้อเสียต่างกัน

เกจวัดแรงดันแบบบูรดอนทำงานอย่างไร?

เกจวัดแรงดันแบบบูรดอนเป็นแบบที่นิยมใช้มากที่สุด มีโครงสร้างง่าย ประกอบด้วยหลอดโค้งรูปตัว C ที่สามารถยุบหรือเหยียดตัวเมื่อแรงดันเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เข็มวัดเคลื่อนที่ขึ้นลงบนหน้าปัด

เกจแรงดันคงที่มีประโยชน์อย่างไร?

เกจแรงดันคงที่วัดแรงดันสัมบูรณ์ที่อ้างอิงกับสภาพสุญญากาศ ซึ่งแตกต่างจากเกจแรงดันอื่นที่อ้างอิงกับแรงดันบรรยากาศ ช่วยให้สามารถใช้กับอุปกรณ์ที่ต้องการวัดแรงดันอย่างแม่นยำ เช่น ในระบบปฏิบัติการ ห้องปฏิบัติการ และระบบควบคุม

มาตรวัดแรงดันแบบไดอะแฟรมทำงานอย่างไร?

มาตรวัดแรงดันแบบไดอะแฟรมใช้แผ่นยืดหยุ่นรับแรงดันเพื่อขับเคลื่อนเข็มบนหน้าปัด เหมาะสำหรับวัดแรงดันต่ำ หรือวัดความดันน้ำ ไอน้ำ และก๊าซ ซึ่งมีความเสถียรและแม่นยำสูง

เกจวัดแรงดันสำหรับงานอุตสาหกรรมมีคุณลักษณะพิเศษอย่างไร?

เกจวัดแรงดันที่ใช้สำหรับงานอุตสาหกรรมจะต้องมีคุณสมบัติพิเศษ เช่น ความแม่นยำสูง การป้องกันการกัดกร่อน ทนต่อแรงกระแทก และการวัดอุณหภูมิสูง เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสมในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง